เศรษฐกิจ
เปิดตัวพันธุ์งา “อุบลราชธานี 3” ให้ผลผลิตสูงกว่า 200 กิโลกรัมต่อไร่
วันจันทร์ ที่ 07 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565, 14.25 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
กรมวิชาการเกษตร เปิดตัวพันธุ์งา“อุบลราชธานี 3” ให้ผลผลิตสูงกว่า 200 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มปริมาณน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่า 46 เปอร์เซ็นต์ ต้านทานแมลงศัตรูมวนฝิ่นสีเขียว หนุนปลูกสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรปลูกได้ตลอดปี
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ล่าสุดคณะนักวิจัยของศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี กรมวิชาการเกษตร ได้วิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงที่ให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นกว่าพันธุ์เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณผลผลิตงาของประเทศเพิ่มมากขึ้นเพียงพอต่อความต้องการของตลาดและทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน โดยได้รวบรวมสายพันธุ์งาที่ได้จากธนาคารเชื้อพันธุ์พืชของสหรัฐอเมริกาและที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน อิรัก ญี่ปุ่น อัฟกานิสถาน เมียนมาร์ รวมทั้งสายพันธุ์พื้นเมืองในประเทศจำนวน 77 สายพันธุ์ มาปลูกขยายพันธุ์และศึกษาลักษณะทางการเกษตรในแปลงรวบรวมและศึกษาพันธุ์งา และทำการคัดเลือกพันธุ์แบบสายพันธุ์บริสุทธิ์ คัดเลือกได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะทางการเกษตรและให้ผลผลิตดี จำนวน 23 สายพันธุ์ จากนั้นนำเข้าประเมินพันธุ์ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์งาแดงเพื่อให้ผลผลิตสูง ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การรวบรวมและศึกษาพันธุ์ การคัดเลือกพันธุ์ และการประเมินพันธุ์โดยการเปรียบเทียบเบื้องต้น เปรียบเทียบมาตรฐาน เปรียบเทียบในท้องถิ่น และเปรียบเทียบในไร่เกษตรกรที่จังหวัดอุบลราชธานี นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์ ศึกษาข้อมูลจำเพาะของพันธุ์โดยประเมินความต้านทานโรคและความต้านทานต่อแมลงศัตรูที่สำคัญของงา จนได้งาแดงสายพันธุ์ RSMUB54-12 ที่มีเสถียรภาพในการให้ผลผลิตดีและมีลักษณะเด่นตามที่ต้องการคือให้ผลผลิตและปริมาณน้ำมันสูง จึงเสนอคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร พิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี 2564 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 3”
ทั้งนี้งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 3 มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตเฉลี่ยในแหล่งปลูกสำคัญที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ จำนวน 216 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งสูงกว่างาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 ที่ให้ผลผลิต 192 กิโลกรัม/ไร่ และงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 2 ให้ผลผลิต 206 กิโลกรัม/ไร่ และยังให้ปริมาณน้ำมันเฉลี่ยสูง 46.4% รวมทั้งยังมีความต้านทานต่อการทำลายของศัตรูพืชมวนฝิ่นสีเขียว เหมาะสำหรับปลูกในแหล่งปลูกที่สำคัญ และสภาพการผลิตพืชไร่ทั่วไป โดยเกษตรกรสามารถปลูกสร้างรายได้เสริมได้ตลอดทั้งปี
“งาเป็นพืชไร่ที่เกษตรกรปลูกเป็นพืชเสริมรายได้ ทั้งงาแดง งาขาว งาดำ โดยเกษตรกรจะนิยมปลูกงาแดงมากที่สุดเนื่องจากปลูกง่าย และมีความทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ คณะนักวิจัยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ซึ่งมีนายธำรง เชื้อกิตติศักดิ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ เป็นหัวหน้าทีมวิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงจนประสบผลสำเร็จ ได้งาแดงพันธุ์ใหม่ “อุบลราชธานี 3” ที่มีลักษณะโดดเด่นให้ผลผลิต และปริมาณน้ำมันสูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 และอุบลราชธานี 2 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น” นางสาวอิงอร กล่าว
อย่างไรก็ตามงาถือเป็นพืชไร่น้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์เกือบทุกชนิด รวมทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัย จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเกษตรกรจะปลูกเป็นพืชเสริมรายได้ก่อนหรือหลังพืชหลักทำให้พื้นที่ปลูกงาของเกษตรกรอยู่ในวงจำกัด และจากสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนส่งผลให้ผลผลิตงาบางปีเกิดความเสียหาย ได้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ทำให้ผลผลิตงาไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั้งที่งาเป็นพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 90 วัน และต้องการการดูแลรักษาน้อย โดยเฉพาะบางปีงาเป็นพืชที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรสูงกว่าพืชหลัก
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่