วันที่ 25 มิ.ย. 2564 เวลา 13:51 น.
เปิดเรื่องราวเด็กชาย13ขวบผู้เขียนจดหมายด้วยลายมือถึงในหลวงขอรับพระราชทานความช่วยเหลือและทรงมีพระเมตตาซ่อมบ้านพักทรุดโทรม
ด.ช.จีรภัทร กรมไธสง อายุ 13 ปี ชาวต.นครสวรรค์ออก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ได้มีการเขียนจดหมายส่งถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรับพระราชทานความเมตตากรุณาให้พระองค์ช่วยซ่อมแซมบ้านที่พักอาศัยซึ่งอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมและในหลวงได้ทรงมีพระราชกระแสตอบกลับและส่งเรื่องให้จังหวัดนครสวรรค์ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือได้สร้างความปลาบปลื้มปิติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ด.ช.จีรภัทรและครอบครัว
ด.ช.จีรภัทร กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลวัดปากน้ำโพใต้ มีผลการเรียนในระดับเกรด 3 กว่าและมักได้เป็นตัวแทนไปทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนอยู่เสมอๆ ยามว่างจากเรียนก็หางานอาชีพเสริม ด้วยการรับจ้างเป็นผู้ช่วยสัปเหร่ออยู่ที่วัดปากน้ำโพใต้ หรือวัดตะแบก ทุกครั้งที่วัดมีการจัดงานฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิต จะเดินทางมารับจ้างเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อทุกครั้งจนรู้งานเกี่ยวกับขั้นตอนในการทำหน้าที่สัปเหร่ออย่างดีได้ค่าจ้างครั้งละ 100-400 บาทและนำเงินส่วนหนึ่งแบ่งให้กับพ่อและแม่ เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวอีกทาง
ด.ช.จีรภัทรได้ระบุว่ามีความตั้งใจเขียนจดหมายถึงในหลวงเพราะบ้านที่อาศัยอยู่ในสภาพทรุดโทรมทั้งพื้นบ้านทะลุ และฝาบ้านพังเสียหายมานานหลายปี แต่ทางบ้านก็ไม่มีเงินซ่อม เพราะในฐานะยากจน บิดา คือนายสุธี กรมไธสง อายุ 37 ปี มีอาชีพรับจ้างขับรถส่งน้ำดื่ม และมารดาคือนางรันทิภา ชูประยูร อายุ 33 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างขายไก่ทอดที่ร้านแห่งหนึ่ง ภายในห้างสรรพสินค้าทั้งคู่มีรายได้ต่อเดือนเพียงน้อยนิดเท่านั้น ทำให้ตนตัดสินใจเขียนจดหมายขอรับพระราชทานความช่วยเหลือ ด้วยการเข้ากูเกิ้ล หาแบบฟอร์มจดหมายก่อน จะมีการบรรจงเขียนจดหมายด้วยลายมือถึงความเดือดร้อนภาษาแบบชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์ และจากนั้นจึงได้เสิร์ชหาที่อยู่ของพระองค์ท่าน ในการจ่าหน้าซองระบุที่อยู่จัดส่ง พร้อมกับนำจดหมายดังกล่าว มอบให้กับมารดาเพื่อให้ช่วยนำไปส่งที่ไปรษณีย์ จดหมายได้ถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมากระทั่ง เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการจังหวัด นำเครื่องอุปโภคบริโภคเดินทางมามอบให้ถึงบ้าน จึงได้ทราบว่า ในหลวง ร.10 ได้อ่านจดหมายและได้ทราบถึงการขอความช่วยเหลือแล้ว จึงได้มีการส่งเรื่องมายังจังหวัด ให้มาตรวจสอบทำให้ตนรู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระองค์ท่านทรงให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก
สำหรับสภาพบ้านพักของ ด.ช.จีรภัทรตั้งอยู่ในชุมชนที่มีสภาพแออัดเป็นบ้านไม้ยกสูงชั้นเดียว และมุงหลังคาด้วยสังกะสี ที่ต้องติดสปริงเกอร์เปิดน้ำพรมหลังคาเอาไว้ในตอนกลางวันเพื่อช่วยบรรเทาความร้อนมีสมาชิกรวมกันถึง 6 คน เมื่อเทียบกับขนาดบ้านจึงถือว่ามีขนาดคับแคบมาก และสภาพบ้าน มีความเก่าผุพัง ตั้งแต่พื้นไม้กระดานไปจนถึงฝาผนัง ที่ต้องใช้เศษไม้อัด และผ้าใบมาซ่อมแซมในส่วนที่เสียหายแทนไปก่อน
นางรันทิภา มารดาของ ด.ช.จีรภัทร กล่าวว่ามีลูกรวม4คน ด.ช.จีรภัทร เป็นลูกชายคนที่ 2 ซึ่งถือเป็นเด็กเรียนดี มีทักษะในการพูดคล่องแคล่ว อีกทั้งยังมีความกตัญญูไปทำงานเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อ เพื่อหาเงินค่าจ้างมาช่วยเหลือพ่อกับแม่วันไหนที่ว่างงาน ด.ช.จีรภัทร จะผลัดเปลี่ยนกันกับพี่สาว ติดตามไปช่วยขายไก่ทอดที่ร้านที่เป็นลูกจ้างอยู่เป็นประจำฐานะของครอบครัวยอมรับว่ายากจน ส่วนสามีทำงานเป็นลูกจ้างจึงมีรายได้รวมกันแค่พอใช้จ่ายกินอยู่ในครอบครัวเท่านั้น จึงทำให้ ด.ช.จีรภัทรเขียนจดหมายเพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือก็ไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งมารู้อีกที ว่าเข้าได้เขียนจดหมายจริง และยังได้ขอให้ช่วยไปส่งจดหมายที่ทำการไปรษณีย์ให้ด้วยจนนำมาสู่เรื่องราวความปลาบปลื้มดีใจที่สุดของครอบครัว ถือเป็นพระเมตตากรุณาของพระองค์ท่าน ที่ทรงห่วงใยใส่ใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน แม้ปัญหาเรื่องการซ่อมแซมบ้านตน อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น แต่พระองค์ท่านก็ยังใส่ใจเมตตาทรงห่วงใยทำให้รู้สึกดีใจมาก