“วีระกร” อภิปรายเสียวโยง “สุชาติ” เคยซื้อยาบำรุงทางเพศ เจอสวนอย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวพาดพิงคนอื่น

วันที่ 24 พ.ย.64 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.อาหาร (ฉบับที่) พ.ศ. … ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยนายสาธิต ปิตุเตชะรมช.สาธารณสุข ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่าต้องการแก้ไขพ.ร.บ.อาหารฯโดยให้มีการยกเลิกบทนิยามคำว่าอาหารควบคุมเฉพาะ ตำรับอาหารและโรงงาน และเพิ่มบทนิยามคำว่าวัตถุสัมผัสอาหาร เอกสารกำกับอาหาร ข้อความโฆษณาสถานที่ กระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร และให้อำนาจรมว.สาธารณสุข มีอำนาจประกาศกำหนดกลุ่มอาหาร โดยแบ่งเป็นอาหารควบคุมและจดแจ้ง กำหนดอาหารที่ต้องควบคุมความปลอดภัย และกำหนดหลักเกณฑ์ใช้วัตถุอาหาร รวมทั้งการขนส่ง จำหน่าย การเก็บรักษาและการโฆษณา

จากนั้น ได้เปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง โดยนายวีระกร คำประกอบ ส.ส. นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายว่า ตนเห็นด้วยที่เขียนห้ามโฆษณาเกินความจริง ซึ่งการโฆษณาอาหารต้องไม่ใช้ข้อความเกินจริงที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เรียกง่ายๆคือห้ามหลอกลวง สิ่งที่ประธานในฐานะที่เป็นผู้แทนต่างจังหวัดพบเห็นเสมอคือการโฆษณาเกินจริงในวิทยุท้องถิ่นทั้งหลาย โดยเฉพาะมาตรา 42/11 (4) ข้อความที่ทำให้เข้าใจว่ามีสรรพคุณบำรุงกามหรือการมีเพศสัมพันธ์ ดีที่ช่วงหลังๆเบาลงเพราะช่วงที่ผ่านมาเปิดช่องไหนไม่ว่าจะทีวีหรือวิทยุ โฆษณาแต่เรื่องเหล่านี้ ท่านประธานก็คงจะเคยลองซื้อมาใช้เหมือนกันได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วโฆษณาเกินความเป็นจริง โฆษณาเสร็จมีการโทรไปถามว่าใช้แล้วเป็นอย่างไร กินแล้วใช้ได้ผลไหม

“หรือการโฆษณายาบำรุงสายตาซึ่งราคาแพงมากและเป็นการโฆษณาเกินความเป็นจริงทางอย.ควรเข้าไปจัดการด้วย เพราะทำให้ประชาชนเสียเงินเกินขอบเขตไม่เป็นความจริง เพื่อนๆผมอย่างคุณอนันต์ ผลอำนวยส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ก็ชอบฟัง กินแล้วได้ผลหรือไม่คุณลุงอนันต์ ที่โฆษณามานี้ คุณลงอนันต์ บอกบางทีก็ใช้ได้ ซึ่งถือเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือไม่” นายวีระกร กล่าว ทำให้ส.ส.หัวเราะชอบใจ

หลังนายวีระกร พูดจบ นายสุชาติ ได้กล่าวตำหนิว่า “อย่าเอาความรู้สึกตัวเองไปพาดพิงคนอื่นให้เสียหาย ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนั้นอย่าเอาความรู้สึกตนเองไปพาดพิงคนอื่นสิครับ”

หลังจากสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการด้วยคะแนน 312 ต่อ 1 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 1 และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯจำนวน 25 คน